โรคสมาธิสั้น (ADHD) ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นได้กับเด็กๆ โดยมีอาการหลักๆ คือขาดสมาธิ ควบคุมตนเองไม่ได้ และซุกซน อยู่ไม่นิ่ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนอายุ 7 ขวบ ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม อาการของเด็กสมาธิสั้นแต่ละคนแตกต่างกัน บางรายมีอาการซน อยู่ไม่นิ่ง และควบคุมตนเองต่ำเป็นอาการหลัก บางคนอาจจะมีอาการขาดสมาธิเป็นปัญหาหลัก พบทั่วโลก ในประเทศไทยพบ 3-5% ของเด็กในวัยเรียน โดยอาการที่ผู้ปกครองควรเฝ้าระวัง และสังเกตมีดังนี้
อาการของเด็กที่มีสมาธิสั้นหรือโรคสมาธิสั้นผสมซน (ADHD)
1. ขาดสมาธิ
– มีปัญหาในการให้ความสนใจกับรายละเอียดหรือทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจในการบ้านหรือกิจกรรมอื่นๆ
– ยากที่จะรักษาความสนใจในกิจกรรมหรือเล่น
– ดูเหมือนไม่ฟังเมื่อพูดถึงโดยตรง
– ไม่ติดตามคำแนะนำและไม่สามารถทำงานหรือการบ้านให้เสร็จได้
– มีปัญหาในการจัดระเบียบงานและกิจกรรม
– หลีกเลี่ยงหรือไม่ชอบทำงานที่ต้องใช้ความพยายามทางจิตใจอย่างต่อเนื่อง
2. ซุกซน ไม่ยอมอยู่นิ่ง
– นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อย
– ชอบวิ่งเล่นและปีนป่ายในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
– ไม่สามารถเล่น หรือทำกิจกรรมได้อย่างเงียบๆ
– เคลื่อนไหวตลอดเวลา
– พูดมากเกินไป
3. ปัญหาในการควบคุมอารมณ์
– ปะทุอารมณ์ได้ง่ายหรือแสดงอาการโกรธที่ไม่เหมาะสม
– มีปัญหาในการรอคอยตามคิวหรือรอคอยตามความจำเป็น
– ขัดจังหวะการพูดคุยหรือกิจกรรมของคนอื่นๆ
หากสงสัยว่าเด็กมีอาการของโรคสมาธิสั้น ควรที่จะเข้าไปรับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและหารือเกี่ยวกับตัวเลือกที่จะใช้ในการรักษาให้เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กๆ แต่ละคน
คำแนะนำสำหรับการดูแลเด็กที่มีสมาธิสั้นหรือโรคสมาธิสั้นผสมซน (ADHD)
1. สร้างโครงสร้างและกิจวัตรประจำวัน
• โครงสร้างช่วยให้เด็กมีความมั่นคงและทราบว่าคาดหวังอะไรได้บ้าง
• จัดสรรเวลาสำหรับการบ้าน, การเล่น, และการพักผ่อนให้ชัดเจน
2. ปรับสภาพแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียน
• ลดสิ่งรบกวนที่อาจทำให้เด็กเสียสมาธิ
• จัดสภาพแวดล้อมให้เรียบง่ายและมีระเบียบ
3. ต้องใช้การสื่อสารที่ชัดเจน และตรงไปตรงมา
• ใช้คำสั่งที่เรียบง่ายและชัดเจน
• ย้ำคำสั่งและความคาดหวังให้เป็นระเบียบ
4. ใช้ระบบการให้รางวัลเวลาที่เด็กประพฤติตัวดี
• ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมที่ดีและให้รางวัลเพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมนั้น
• มีความสอดคล้องในกฎและผลที่ตามมา
5. สนับสนุนการพัฒนาทักษะทางด้านสังคม
• ช่วยเหลือเด็กในการเรียนรู้วิธีการและเหตุผลในการรอคอย, การแบ่งปัน และการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
• จัดกิจกรรมกลุ่มเพื่อฝึกทักษะทางสังคมในสถานการณ์ที่ควบคุมได้
6. ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและโรงเรียน
• ร่วมมือกับครูและผู้เชี่ยวชาญเพื่อพัฒนาแผนการศึกษาที่ตอบโจทย์เด็ก
• พิจารณาการปรึกษานักจิตวิทยาหรือนักบำบัดพฤติกรรม
7. ใส่ใจเรื่องอารมณ์และการรับรู้
• สังเกตและตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์ของเด็ก
• สอนเด็กให้รู้จักวิธีการจัดการกับความเครียดและความผิดหวัง
ทั้งนี้ทั้งนั้นการดูแลเด็กสมาธิสั้นต้องอาศัยความอดทนและความเข้าใจอย่างมาก แต่ถ้าวางแผนดูแลได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมจากผู้ปกครองจะช่วยให้เด็กๆ สามารถควบคุมตนเองได้ และช่วยให้เติบโตทำงานเข้ากับสังคมได้ และมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ค่ะ